นักเรียนคนไหนที่กำลังสนใจเข้าศึกษาต่อปริญญาโทที่ประเทศเยอรมนี ข้อมูลเบื้องต้นข้างล่างนี้ จะช่วยตอบคำถามและช่วยให้นักเรียนเริ่มต้นการเตรียมตัวเรียนต่อได้ง่ายขึ้น
‘เรียนฟรี’ จริงรึเปล่า?
ถ้าเรียกว่า ‘ฟรี’ อาจคงไม่ถูกนัก เพราะการมาเรียนที่เยอรมนี นักเรียนจะต้องมีเตรียมความพร้อมด้านการเงินอยู่พอสมควร ‘ไม่เก็บค่าเทอม’ อาจเป็นนิยามที่ถูกต้องกว่า เพระมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ในเยอรมันได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากรัฐบาลซึ่งทำให้มหาวิทยาลัยเหล่านี้ไม่เก็บ ‘ค่าเทอม’ (no tuition fee) แต่นักศึกษาทุกคนจะต้องจ่าย ‘semester fee’ หรือความหมายคร่าวๆคือค่าบำรุงการศึกษานั่นเอง ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ จะครอบคลุมค่าใช้จ่าย admin ทั่วไปเช่น การลงทะเบียนเรียน รวมถึงเป็นการจ่ายให้กับองค์กรนักศึกษา (Studentenwerk) ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ต่างๆกับกับนักศึกษาเช่น ตั๋วเดินทางที่ใช้ได้กับระบบขนส่งสาธารณะประจำเมือง รวมถึงหอพักและโรงอาหารที่ราคาถูกกว่าข้างนอก
ราคาของ Semester fee จะอยู่ที่เทอมละประมาณ 300 ยูโร
สาขาไหนที่ดังบ้าง?
จริงๆแล้ววประเทศเยอรมนีเปิดสอนหลักสูตรปริญญาโทครอบคลุมแทบทุกสาขา ซึ่งล้วนแต่มีคุณภาพเทียบเท่ากับประเทศอื่นๆในยุโรป และอเมริกา แต่ที่นักเรียนไทยส่วนใหญ่ให้ความสนใจไปเรียนกันมากจะเป็นสาขา Engineering, Buniess และ Design
มหาวิทยาลัยอันไหนดี อันไหนดัง?
โดยภาพรวมแล้วคุณภาพของมหาวิทยาลัยในเยอรมนีมีระดับมาตรฐานที่เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยประจำเมืองขนาดใหญ่ หรือมหาวิทยาลัยที่เน้นภาคปฏิบัติเฉพาะทางขนาดเล็ก ซึ่งถ้าเราถามนักศึกษาเยอรมันแล้ว คำตอบที่ได้คือ เค้าจะเน้นไปที่สาขาวิชาที่ตัวเองสนใจและถนัดมากกว่า ซึ่งแต่ละมหาวิทยาลัยก็จะเด่นกันคนละด้าน
แต่หากเราดูการจัดอันดับแบบ intertional แล้ว ทางสำนัก QS จัดอันดับ 5 มหาวิทยาลัยของเยอรมันที่ดีที่สุดในปี 2019 ไว้ตามนี้
- Technische Universität München (Technical University of Munich)
- Ludwig-Maximilians-Universität München
- Universität Heidelberg
- Karlsruhe Institute of Technology
- Humboldt-Universität Berlin
มหาวิทยาลัยที่เยอรมันมีกี่ประเภท?
- มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเทคนิค (Universities / Technical Universities)
- มหาวิทยาลัยเน้นภาคปฏิบัติ (Universities of Applied Sciences)
- วิทยาลัยด้านการดนตรี ศิลปะและภาพยนตร์
นักเรียนล้วนสามารถเลือกเรียนได้ทุกประเภทที่กล่างไว้ข้างต้นตามสาขาที่ตนถนัด เพราะทุกที่สามารถออกวุฒิป.โทให้ได้ และมีระดับมาตรฐานทางการศึกษาที่เท่าเทียมกัน
ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร? เค้ามีเกณฑ์อะไรในการรับนักเรียนเข้าศึกษา?
มี 3 ปัจจัยหลักที่เราต้องประเมิณและเตรียมตัวให้พร้อม:
- ป.ตรี – เราต้องจบป.ตรีในสาขาที่ใกล้เคียงกับสาขาที่เราศึกษาต่อ และมีเกรดในเกณฑ์ที่ค่อนข้างดี
- ความสามารถทางภาษา – หากเราต้องการเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ เราต้องยื่นคะแนน IELTS อย่างต่ำที่ 6.0 สำหรับหลักสูตรภาษาเยอรมัน เราต้องยื่นผลสอบ TestDaF
- ความพร้อมด้านการเงิน – ถึงแม้ว่าเราจะได้ offer ในหลักสูตรที่ไม่เสียค่าเทอม ในขั้นต้อนการขอวีซ่านักศึกษา เราต้องพิสูจน์ความพร้อมว่าเรามีเงินเพียงพอสำหรับค่ากินอยู่ปีแรกเป็นจำนวน 10,236 ยูโร หรือประมาณ 350,000 บาท
เรียนเป็นภาษาเยอรมันหรืออังกฤษ?
ถึงแม้โดยทั่วไปแล้วภาษาที่ใช้สอนที่มหาวิทยาลัยจะเป็นภาษาเยอรมัน แต่ในปัจจุบันทั้งมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชนได้เปิดสอนหลักสูตรที่สอนเป็นภาษาอังกฤษมากขึ้น นักเรียนสามารถเลือกเรียนเป็นหลักสูตรภาษาอังกฤษ หากเรามีคุณสมบัติตามที่หลักสูตรนั้นต้องการ
เปิดรับสมัครช่วงไหน? เปิดเทอมเดือนอะไร?
สำหรับป.โทของเยอรมัน จะมี intake รับนักศึกษาเข้าเรียน 2 รอบคือ:
- Winter semester (เปิดเทอมเดือนเมษา 2020 และรับสมัครตอนพฤศจิกา 2019) และ
- Summer semester (เปิดเทอมเดือนตุลา 2020 และรับสมัครตอนเมษา 2020)
แต่นักศึกษาส่วนใหญ่จะนิยมเรียนช่วง Winter semester มากกว่าเพราะมีหลักสูตรเปิดให้เลือกมากกว่า
เรียนกี่ปี?
1.5-2 ปี
แนะนำมหาวิทยาลัยให้หน่อย?
จริงๆแล้วคุณภาพของมหาวิทยาลัยในเยอรมนีมีระดับมาตรฐานที่เท่าเทียมกัน ทาง Keen Education เลยอยากแค่แนะนำรายชื่อมหาวิทยาลัยที่นักเรียนไทยนิยมไปเรียนตามสาขาวิชาตามนี้
- Engineer – RWTH Aachen
- Business – Hochschule für Wirtschaft und Recht Berlin (Berlin School of Economic and Law)
- Art & Design – Bauhaus-Universität Weimar
- Science – Technische Universität München (Technical University of Munich)
- Social Science – Humboldt-Universität Berlin
เรียนเมืองไหนดี?
ข้อดีของประเทศเยอรมนีคือการที่มหาวิทยาลัยคุณภาพดีต่างๆจะกระจายอยู่รอบประเทศและไม่กระจุกอยู่แค่เมืองหลวง ซึ่งทำให้นักเรียนไม่ต้องจำกัดตัวเองอยู่ที่เมืองใหญ่ และสามารถเลือกหลักสูตรและเมืองที่ตอบโจทย์ lifetsyle ของตนเองได้
ทาง Keen Education ขอแนะนำตามนี้
- สำหรับใครที่ชอบการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองใหญ่ ไม่น่าเบื่อ มีที่กินที่เที่ยวครบ ทาง Keen Education ของแนะนำเมืองหลวงอย่าง Berlin หรือ Munich ทางตอนใต้ และ Hamburg ทางตอนเหนือ
- คนไหนที่ชอบความสงบ รักธรรมชาติ เมืองไม่วุ่นวาย เราแนะนำเมืองเล็กๆเช่น Aachen, Karlsruher หรือ Wismar
- สำหรับนักเรียนสาย finance, business เราแนะนำเมืองศูนย์กลางทางเงินที่ Frankfurt
- หรือใครที่ชอบเรียนในเมืองเก่า เต็มไปด้วยเสน่ห์และแสนจะโรแมนติก เราแนะนำเมือง Nürnberg, Dresden และ Heidelberg
ทำงานระหว่างเรียน และหางานทำหลังจากเรียนจบได้ไหม?
ได้ นักศึกษาปริญญาโทจะได้รับอนุญาติให้ทำงานได้ 120 วันต่อปี หรือ 240 วันต่อปี (ในกรณีที่ทำงานครึ่งวัน) นักเรียนสามารถทำงานรับจ้างทั่วไป เข่นงานเสรฟิตามร้านอาหาร หรือจะเลือกฝึกงาน หรือทำงานเป็น working student ตามบริษัทก็ได้เช่นกัน
ซึ่งการทำงานพิเศษระหว่างเรียนนี้ นักเรียนสามารถรับเงินตอบแทนได้ซึ่งสามารถนำไปช่วยลดค่าใช้จ่ายต่อเดือนได้ถึง 200-400 ยูโรเลยทีเดียว
หลังจากเรียนจบแล้ว นักเรียนสามารขอวีซ่าหางานเพื่ออยู่ต่อได้ถึง 18 เดือน ระหว่างนี้ เมื่อได้งานที่ตรงกับความต้องการและวุฒิที่จบมา นักเรียนสามารถสมัครขอ work permit ได้ทันที